“การประกันตัว” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยในข่าวคดี แต่หลายคนยังเข้าใจไม่ชัดว่าจริงๆ แล้วคืออะไร ต้องทำตอนไหน ใช้เงินเท่าไหร่ และใครเป็นคนยื่นขอได้บ้าง
ในความเป็นจริง การประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่กฎหมายไทยรับรองไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลถูกควบคุมตัวหรือถูกขังนานเกินจำเป็นในระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณาคดี เพราะตามหลักกฎหมาย “ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหายังไม่มีความผิด” จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
สารบัญเนื้อหา
-
ประกันตัวช่วงไหนได้บ้าง
-
ผู้มีสิทธิยื่นขอประกันตัว
-
การขอประกันตัวต่อศาล
-
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอประกันตัว
-
การกำหนดจำนวนเงินประกันตัว
-
สิ่งที่ศาลพิจารณาก่อนอนุญาตให้ประกันตัว
-
สรุป
ประกันตัวช่วงไหนได้บ้าง
การขอประกันตัวสามารถทำได้ทั้งหมด 3 ช่วงหลัก ตามลำดับของกระบวนการทางคดี ได้แก่
1. ก่อนถึงศาล (ชั้นสอบสวน)
เป็นช่วงที่ผู้ต้องหายังอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากตำรวจเห็นว่าคดีไม่ร้ายแรง สามารถอนุญาตให้ประกันตัวได้ที่สถานีตำรวจ โดยผู้ต้องหาหรือญาติสามารถยื่นขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ เช่น เงินสดหรือโฉนดที่ดิน
2. ระหว่างฝากขัง (ชั้นอัยการหรือศาลอนุญาตขัง)
เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการฝากขัง พนักงานสอบสวนจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตขังผู้ต้องหาเพิ่มเติมระหว่างสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิยื่นขอประกันตัวต่อศาลได้เช่นกัน
3. หลังศาลรับฟ้อง (ชั้นพิจารณาคดี)
เมื่ออัยการฟ้องคดีต่อศาลแล้ว ผู้ต้องหาจะกลายเป็น “จำเลย” และต้องขอประกันตัวที่ศาลโดยตรง หากไม่ได้รับการประกันตัว จำเลยจะต้องถูกคุมขังในเรือนจำจนกว่าคดีจะมีคำพิพากษาสิ้นสุด
ผู้มีสิทธิยื่นขอประกันตัว
การยื่นขอประกันตัวไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้ต้องหาหรือจำเลยเท่านั้น แต่กฎหมายเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการแทนได้ เพื่อให้การปล่อยชั่วคราวเป็นไปโดยสะดวกและไม่กระทบต่อสิทธิของผู้ต้องหาในกระบวนการยุติธรรม
1. ผู้ต้องหา หรือจำเลยเอง
ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวด้วยตนเองได้ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นในชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณา หรือหลังคำพิพากษา โดยยื่นผ่านพนักงานสอบสวน อัยการ หรือศาล แล้วแต่ช่วงของคดี
2. บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิด
ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่สามารถยื่นขอได้ด้วยตนเอง เช่น ถูกคุมขังอยู่ หรือมีเหตุจำเป็น กฎหมายอนุญาตให้บุคคลต่อไปนี้ ยื่นขอประกันตัวแทนได้
-
บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง — มักเป็นผู้ที่ศาลให้ความเชื่อถือมากที่สุด เพราะมีความรับผิดชอบโดยธรรมชาติ
-
คู่สมรสหรือบุตร — ถือเป็นบุคคลในครอบครัวที่มีผลประโยชน์ร่วมกันและมักมีความตั้งใจช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาได้ต่อสู้คดีอย่างเปิดเผย
-
ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิทที่ไว้วางใจได้ — หากมีความน่าเชื่อถือ มีฐานะหรืออาชีพมั่นคง ศาลอาจอนุญาตให้เป็นผู้ประกันได้เช่นกัน
-
ผู้บังคับบัญชา หรือนายจ้าง — ในกรณีผู้ต้องหาเป็นพนักงานหรือบุคลากรขององค์กร นายจ้างสามารถยื่นขอประกันตัวแทนได้ โดยศาลจะพิจารณาความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือของผู้ยื่นคำร้องประกอบ
บุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็น “ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง” ตามกฎหมาย และศาลจะตรวจสอบความเหมาะสม ความสามารถในการรับผิดชอบต่อเงื่อนไขของการประกันตัว รวมถึงฐานะทางการเงินของผู้ยื่น เพื่อพิจารณาว่ามีความมั่นใจเพียงพอที่จะอนุญาตให้ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือไม่
การขอประกันตัวต่อศาล
การขอประกันตัวต่อศาลคือขั้นตอนสำคัญที่ผู้ต้องหา หรือจำเลยใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างกระบวนการพิจารณาคดี โดยศาลจะเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของคดี ความน่าเชื่อถือของผู้ขอ และหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกัน
ศาลแบ่งช่วงของการขอประกันตัวออกเป็น 3 ระดับหลัก ดังนี้
1. การประกันตัวระหว่างฝากขัง
เป็นช่วงที่คดียังอยู่ระหว่างการสอบสวน ตำรวจหรืออัยการยังไม่สรุปสำนวน ผู้ต้องหามีสิทธิยื่นขอประกันตัวต่อศาลได้โดยตรงในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ขออนุญาตศาลฝากขังไว้เพิ่มเติม
หากศาลเห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องคุมขังต่อ และผู้ต้องหามีหลักทรัพย์เพียงพอ ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวได้ โดยอาจกำหนดเงื่อนไข เช่น ห้ามออกนอกประเทศ หรือให้มารายงานตัวตามกำหนด
2. การประกันตัวในชั้นพิจารณาคดี
เมื่ออัยการมีคำสั่งฟ้องคดีและศาลรับฟ้อง ผู้ต้องหาจะเปลี่ยนสถานะเป็น “จำเลย” จำเลยมีสิทธิเข้ายื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลได้ทั้ง ก่อนวันนัด หรือ ในวันพิจารณาคดี
ศาลจะพิจารณาจากพฤติกรรมของจำเลย เช่น ไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และมีที่อยู่แน่นอน หากเข้าเงื่อนไขเหล่านี้ ศาลมักอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
3. การประกันตัวในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก และจำเลยประสงค์จะ ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา เพื่อสู้คดีต่อ ยังสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวได้อีกครั้ง
การยื่นขอในชั้นนี้สามารถทำต่อ ศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดี หรือ ศาลอุทธรณ์/ฎีกา โดยขึ้นอยู่กับสถานะของคดีในขณะนั้น ศาลจะพิจารณาจากเหตุผลของการอุทธรณ์ ความหนักเบาของคดี และความน่าเชื่อถือของผู้ยื่นประกัน
หากเห็นว่าจำเลยควรได้รับโอกาสต่อสู้คดีโดยไม่ถูกคุมขัง ศาลอาจอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกาได้เช่นกัน
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอประกันตัว
ก่อนที่ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรืออนุมัติการประกันตัว ผู้ยื่นคำร้องจะต้องเตรียมเอกสารและหลักฐานประกอบให้ครบถ้วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ศาลตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผู้ขอ รวมถึงประเมินว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะรับผิดชอบตามเงื่อนไขของการประกันตัวหรือไม่
เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ ได้แก่
-
บัตรประชาชนหรือบัตรข้าราชการของผู้ขอและผู้ต้องหา
ใช้เพื่อยืนยันตัวตนของทั้งสองฝ่าย กรณีที่เป็นผู้ประกันแทนต้องแนบสำเนาบัตรพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
-
สำเนาทะเบียนบ้าน
เพื่อยืนยันที่อยู่ถาวรของผู้ขอและผู้ต้องหา ศาลใช้ประกอบการพิจารณาความมั่นคงและความน่าเชื่อถือ
-
หลักทรัพย์ค้ำประกัน
เช่น โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก) เงินสด หรือบัญชีเงินฝาก
หลักทรัพย์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันว่าผู้ขอมีความสามารถรับผิดชอบในกรณีผู้ต้องหาหลบหนี
-
หนังสือรับรองราคาประเมินที่ดิน
(กรณีใช้โฉนดหรือ น.ส.3ก เป็นหลักประกัน) เพื่อให้ศาลทราบมูลค่าทรัพย์สินและประเมินวงเงินที่เหมาะสมกับคดี
-
หนังสือรับรองจากต้นสังกัด
(กรณีขอประกันตัวด้วยตำแหน่งหน้าที่ เช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือนายจ้างเอกชน)
ใช้ยืนยันว่าผู้ขอมีตำแหน่งงานจริงและมีความน่าเชื่อถือเพียงพอในการรับผิดชอบต่อศาล
-
หนังสือยินยอมจากคู่สมรส (ถ้ามี)
ในกรณีที่ผู้ขอมีคู่สมรส การยินยอมร่วมกันถือเป็นการแสดงเจตนาแน่ชัดในการรับผิดชอบต่อการประกันตัว
หลังจากเตรียมหลักฐานทั้งหมดครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่ศาลจะตรวจสอบเอกสารทุกฉบับ หากถูกต้อง ศาลจึงจะพิจารณาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวหรือกำหนดวงเงินค้ำประกันตามความเหมาะสมของคดี
การกำหนดจำนวนเงินประกันตัว
การกำหนดจำนวนเงินประกันตัวในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาลำดับที่ ข้อหา หรือ ฐานความผิด เงินสด (ขั้นต่ำ) ราคาประเมินหลักทรัพย์ (ขั้นต่ำ) ประมวลกฎหมายอาญา
- ปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 60,000 – 130,000
- แจ้งความเท็จ 40,000 – 70,000
- ฟ้องเท็จ 60,000 – 80,000
- เบิกความเท็จ 40,000 – 70,000
- หมิ่นประมาท 30,000 – 60,000
- เพลิงไหม้ 170,000 – 250,000
- ทำลายเอกสาร 30,000 – 60,000
- ปลอมเอกสารธรรมดาหรือเอกสารสิทธิ 70,000 – 150,000
- ปลอมเอกสารราชการ 80,000 – 150,000
- ปลอมเอกสารสิทธิซึ่งเป็นเอกสารราชการ 90,000 – 180,000
- โทรมหญิง 200,000 – 400,000
- อนาจาร 50,000 – 120,000
- ธุระจัดหาหญิง 200,000 – 400,000
- พรากผู้เยาว์ 80,000 – 160,000
- พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร 100,000 – 200,000
- ฆ่าผู้อื่น 200,000 – 400,000
- ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา 100,000 – 200,000
- พยายามฆ่าผู้อื่น 80,000 – 150,000
- ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ขับรถส่วนบุคคล) 80,000 – 150,000
- ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ขับรถบรรทุก , รับจ้าง) 120,000 – 200,000
- ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (ตายหมู่ ตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป) 150,000 – 300,000
- ทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส 80,000 – 160,000
- ทำร้ายร่างกาย 10,000 – 50,000
- ลักทรัพย์ 50,000 – 100,000
- วิ่งราวทรัพย์ หรือลักทรัพย์ตั้งแต่ 2 อนุมาตราขึ้นไป 80,000 – 160,000
- ลักทรัพย์เป็นแก๊งมิจฉาชีพ 100,000 – 200,000
- ชิงทรัพย์ 100,000 – 200,000
- ชิงทรัพย์มีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะ 150,000 – 300,000
- ชิงทรัพย์ทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ 150,000 – 300,000
- ชิงทรัพย์ฆ่าเจ้าทรัพย์ 200,000 – 400,000
- ปล้นทรัพย์ 200,000 – 300,000
- ปล้นทรัพย์มีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะ 250,000 – 350,000
- ปล้นทรัพย์ทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ 260,000 – 400,000
- ปล้นทรัพย์ฆ่าเจ้าทรัพย์ 300,000 – 500,000
- ฉ้อโกง 30,000 – 70,000
- ฉ้อโกงประชาชน 150,000 – 300,000
- ฉ้อโกงประชาชน หลอกลวงลักษณะจัดหางาน 180,000 – 400,000
- ฉ้อโกงมีพฤติการณ์เป็นแก๊งตกทอง แก๊งไพ่สามใบ 120,000 – 200,000
- โกงเจ้าหนี้ 40,000 – 80,000
- รีดเอาทรัพย์ 80,000 – 120,000
- กรรโชกทรัพย์ 100,000 – 200,000
- ยักยอกทรัพย์ 30,000 – 60,000
- รับของโจร 50,000 – 100,000
- รับของโจรมีพฤติการณ์เป็นคนร้ายลักทรัพย์ ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์ 100,000 – 200,000
- ทำให้เสียทรัพย์ 30,000 – 70,000
- บุกรุก 30,000 – 70,000
- บุกรุกเพื่อทำความผิดเกี่ยวกับเพศ ชีวิต ร่างกาย 100,000 – 200,000
- พยานขัดหมายศาล 50,000 – 100,000
- พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค 1 ใน 3 ของจำนวนเงินตามเช็ค แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
สิ่งที่ศาลพิจารณาก่อนอนุญาตให้ประกันตัว
แม้ “การประกันตัว” เป็นสิทธิของทุกคน แต่ก็ไม่ใช่สิทธิเด็ดขาด ศาลมีอำนาจพิจารณาไม่อนุญาตได้ หากเห็นว่ามีเหตุอันควร เช่น
-
ผู้ต้องหามีแนวโน้มจะ หลบหนี
-
อาจ ไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหรือหลักฐาน
-
มีแนวโน้มจะ ก่อเหตุซ้ำ
-
เป็นคดีอุกฉกรรจ์หรือมีโทษร้ายแรง
โดยทั่วไปศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวหากเห็นว่าผู้ต้องหาน่าเชื่อถือและมีหลักทรัพย์เพียงพอ
สรุป
การประกันตัวเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนสามารถขอได้ เพื่อปกป้องเสรีภาพของผู้ต้องหาไม่ให้ถูกคุมขังเกินความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม สิทธินี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ซึ่งจะพิจารณาจากความเหมาะสมของแต่ละกรณี หากศาลเชื่อว่าผู้ต้องหาจะมารายงานตัวตามนัด และไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ก็จะอนุญาตให้ประกันตัวโดยใช้หลักทรัพย์ตามที่กำหนด
ดังนั้น การเตรียมเอกสารให้ครบ มีผู้ประกันที่น่าเชื่อถือ และเข้าใจขั้นตอนอย่างถูกต้อง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับการปล่อยชั่วคราวในทุกชั้นของคดี