กฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงาน ลูกจ้าง นายจ้าง ค่าชดเชย เลิกจ้างไม่เป็นธรรม

กฎหมายแรงงานเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทั้ง ลูกจ้างและนายจ้าง ควรเข้าใจ เพราะเกี่ยวข้องกับสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ในการทำงานโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงาน วันหยุด วันลา เงินชดเชย หรือแม้แต่กรณีเลิกจ้าง หากไม่รู้กฎหมายอาจทำให้เสียสิทธิ หรือถูกฟ้องร้องได้ง่าย ๆ

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจหลักสำคัญของ กฎหมายแรงงานไทย ตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน เช่น เวลาทำงาน วันหยุด วันลา การคุ้มครองแรงงาน ไปจนถึงประเด็นที่มักเกิดปัญหาบ่อย เช่น เลิกจ้างไม่เป็นธรรม หรือกรณีลูกจ้างทิ้งงาน พร้อมทั้งอธิบายเรื่องแรงงานต่างด้าวที่หลายธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรง

สารบัญเนื้อหา

กฎหมายแรงงานเบื้องต้น

กฎหมายแรงงานมีที่มาจากความพยายามปกป้องลูกจ้างไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป จึงมุ่งเน้นให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันก็กำหนดกรอบหน้าที่ที่นายจ้างต้องปฏิบัติตาม

เวลาทำงานและวันหยุดตามกฎหมายแรงงาน

1. เวลาทำงาน / พัก

  • เวลาทำงานปกติ

    ลูกจ้างทั่วไปทำงานได้ไม่เกิน 9 ชั่วโมงต่อวัน และรวมแล้วไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อป้องกันการทำงานเกินกำลังและเสี่ยงต่อสุขภาพ

  • งานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    เช่น งานเหมืองแร่ งานใต้ดิน งานในอุโมงค์หรือถ้ำ กฎหมายลดเพดานการทำงานลงเหลือ ไม่เกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพราะลักษณะงานเสี่ยงต่ออันตรายและโรคจากการทำงาน

  • งานขนส่ง

    เช่น คนขับรถโดยสารหรือรถบรรทุก กฎหมายกำหนดชั่วโมงทำงาน ไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากความอ่อนเพลีย

  • เวลาพัก

    ลูกจ้างต้องได้พักอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หลังทำงานติดต่อกันไม่เกิน 5 ชั่วโมง และก่อนทำงานล่วงเวลา (โอที) ต้องได้พักเพิ่มอย่างน้อย 20 นาที เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว

ตัวอย่าง: หากบริษัทให้พนักงานนั่งออฟฟิศทำงานตั้งแต่ 9.00–18.00 น. (9 ชั่วโมง) ต้องมีช่วงพักกลางวันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และถ้ามีโอทีต่อ ต้องให้พักก่อนเริ่มโอที

2. วันหยุดและวันลา

  • วันหยุดประจำสัปดาห์

    นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างหยุด อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน และวันหยุดต้องไม่ห่างกันเกิน 6 วันติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น กำหนดหยุดวันอาทิตย์ทุกสัปดาห์

  • วันหยุดตามประเพณี / วันนักขัตฤกษ์

    ต้องไม่น้อยกว่า 13 วันต่อปี โดยปกติแล้วรัฐบาลประกาศวันหยุดราชการมากกว่า 13 วันอยู่แล้ว บริษัทเอกชนสามารถใช้วันเดียวกันหรือนโยบายเพิ่มเติมได้

  • ลาพักร้อน

    ลูกจ้างที่ทำงานครบ 1 ปี มีสิทธิ ลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปี แม้สัญญาจ้างจะไม่ได้ระบุ นายจ้างก็ปฏิเสธไม่ได้ และวันลาพักร้อนสามารถสะสมไปใช้ปีถัดไปได้

    ข้อควรระวัง: หากเลิกจ้างแล้วลูกจ้างยังมีวันพักร้อนคงเหลือ นายจ้างต้องจ่ายเป็นเงินทดแทนตามจำนวนวันพักร้อนที่เหลือ

  • ลาป่วย

    ลูกจ้างสามารถ ลาป่วยได้ไม่เกิน 30 วันต่อปี โดยยังได้รับค่าจ้าง นายจ้างไม่สามารถหักเงินได้ เว้นแต่ป่วยติดต่อกันเกิน 3 วันจึงอาจต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่ถ้าป่วยไม่ถึง 3 วัน กฎหมายไม่ได้บังคับ

  • ลากิจ

    นายจ้างต้องกำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการลากิจ เปิดโอกาสให้ลูกจ้างสามารถไปทำธุระหรือราชการที่จำเป็นได้

ตัวอย่าง: พนักงานทำงานครบ 2 ปี สามารถขอลาพักร้อน 6 วัน และหากไม่ได้ใช้ในปีนี้ สามารถทบไปใช้ปีหน้าได้ รวมเป็น 12 วัน

สรุปคือ กฎหมายแรงงานออกแบบมาเพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนเพียงพอ ลดความเสี่ยงสุขภาพ และป้องกันการเอาเปรียบจากนายจ้าง ในขณะเดียวกันนายจ้างที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องก็ช่วยสร้างแรงงานที่มีคุณภาพและลดความเสี่ยงถูกฟ้องร้อง

การคุ้มครองแรงงาน

หนึ่งในสิ่งที่ลูกจ้างให้ความสนใจมากที่สุดคือ สิทธิในการได้รับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง ซึ่งถูกกำหนดไว้โดย พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อเป็นหลักประกันให้ลูกจ้างสามารถดำรงชีพต่อไปได้ในช่วงเปลี่ยนงาน และเป็นมาตรการป้องกันไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของลูกจ้าง

อัตราค่าชดเชยตามกฎหมาย

  • ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี = ได้ค่าจ้าง 30 วัน (เทียบเท่า 1 เดือน)

  • ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี = ได้ค่าจ้าง 90 วัน (ประมาณ 3 เดือน)

  • ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี = ได้ค่าจ้าง 180 วัน (ประมาณ 6 เดือน)

  • ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี = ได้ค่าจ้าง 240 วัน (ประมาณ 8 เดือน)

  • ทำงานครบ 10 ปีขึ้นไป = ได้ค่าจ้าง 300 วัน (ประมาณ 10 เดือน)

หลักการสำคัญคือ ยิ่งทำงานนาน ยิ่งได้รับค่าชดเชยมากขึ้น เพื่อสะท้อนความผูกพันต่อองค์กรและเวลาที่สูญเสียไป

กรณีที่ลูกจ้างไม่ได้รับค่าชดเชย

แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานจะให้สิทธิประโยชน์กับลูกจ้าง แต่ก็มีข้อยกเว้น หากลูกจ้างกระทำผิดร้ายแรงหรือลาออกเอง เช่น

  • ลาออกเอง โดยสมัครใจ

  • ทุจริตต่อหน้าที่ เช่น ยักยอกทรัพย์ของนายจ้าง

  • กระทำผิดอาญาต่อนายจ้าง เช่น ทำร้ายร่างกายหรือทำลายทรัพย์สินบริษัท

  • ประมาทเลินเล่อร้ายแรง จนบริษัทเสียหายมาก

  • ทิ้งงานติดต่อกัน 3 วันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

  • ถูกศาลพิพากษาจำคุก

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

สมมติว่าลูกจ้างทำงานครบ 5 ปี แล้วจู่ ๆ ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผล นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับ เงินเดือน 6 เดือน ตามกฎหมาย หากนายจ้างเพิกเฉย ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องต่อ ศาลแรงงาน เพื่อบังคับให้นายจ้างชำระได้

ในทางปฏิบัติ ศาลมักจะพิจารณาอย่างรวดเร็วหากเป็นคดีแรงงาน เพราะถือเป็นเรื่องปากท้องของลูกจ้าง

กฎหมายแรงงานต่างด้าว

แรงงานต่างด้าวแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่

  1. แรงงาน 3 สัญชาติ (เมียนมา ลาว กัมพูชา)

    • เน้นแรงงานทั่วไป เช่น ก่อสร้าง โรงงาน

    • เข้ามาทำงานได้ตาม MOU (บันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศ)

  2. แรงงานต่างด้าวทั่วไป (ชาติอื่น ๆ)

    • มักทำงานหลากหลาย ขึ้นอยู่กับนายจ้างและทักษะ

    • ต้องขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) อย่างถูกต้อง

งานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ

เช่น งานขับรถ งานขาย งานแกะสลัก งานเสริมสวย งานบริการทางกฎหมาย เป็นต้น ตามประกาศกระทรวงแรงงาน

ข้อควรระวัง

หากนายจ้างจ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาต อาจถูกปรับสูง และแรงงานต่างด้าวก็อาจถูกส่งกลับประเทศ

ปัญหาเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

แม้กฎหมายกำหนดเรื่องค่าชดเชยไว้อย่างชัดเจนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ในทางปฏิบัติก็ยังพบว่ามีนายจ้างบางรายเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
เช่น ไม่พอใจส่วนตัวกับลูกจ้าง เลือกตัดคนออกเพื่อลดต้นทุน หรือออกข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายแรงงาน

สิทธิของลูกจ้าง หากถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ลูกจ้างมีสิทธิเรียกร้องได้ 2 ส่วน คือ
1) ค่าชดเชยตามอายุงานที่กฎหมายกำหนด และ
2) ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม ซึ่งศาลแรงงานจะพิจารณาตามความร้ายแรงของเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกจ้าง เช่น สูญเสียรายได้ทันที เสียโอกาสในการประกอบอาชีพ หรือมีการเลือกปฏิบัติ

ตัวอย่าง พนักงานทำงานมา 8 ปี ถูกเลิกจ้างกะทันหันเพียงเพราะมีปัญหาส่วนตัวกับหัวหน้า
ศาลแรงงานอาจมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายเท่ากับค่าจ้าง 8 เดือน
พร้อมทั้งค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเพิ่มเติมอีกก้อนหนึ่ง เพื่อเยียวยาความเสียหายและป้องกันไม่ให้นายจ้างกระทำซ้ำในอนาคต

วิธีป้องกัน ลูกจ้างควรเก็บหลักฐานการทำงานให้ครบถ้วน เช่น สัญญาจ้าง ใบลาหยุด ใบเตือน (ถ้ามี) และบันทึกข้อความหรืออีเมลที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
เพื่อใช้ยืนยันต่อศาลว่าการเลิกจ้างครั้งนั้นไม่มีเหตุผลอันสมควร ส่วนทางฝั่งนายจ้าง ควรมีการบันทึกเหตุผลและหลักฐานทุกครั้งที่เลิกจ้าง เพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ปัญหาลูกจ้างทิ้งงาน

อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยในสถานประกอบการ คือ ลูกจ้างทิ้งงาน ไม่ว่าจะเป็นการมาทำงานไม่ครบวัน ขาดงานโดยไม่ลา หรือย้ายไปทำงานที่ใหม่ทันทีโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถือว่าเป็นการผิดสัญญาจ้างงาน และสร้างผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจ

ผลกระทบ

  • นายจ้างเสียหายจากงานที่ไม่เสร็จ : งานที่ต้องการความต่อเนื่องหยุดชะงัก เช่น งานโปรเจกต์ที่ค้างอยู่

  • เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการหาคนใหม่ : ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการสรรหา ฝึกอบรมพนักงานใหม่

  • เสียโอกาสทางธุรกิจ : ในบางกรณี เช่น ตำแหน่งฝ่ายขาย การทิ้งงานกะทันหันอาจทำให้สูญเสียยอดขายหลักล้าน

วิธีป้องกัน

  • กำหนดเงินประกันการทำงาน : หากลูกจ้างทิ้งงานโดยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข จะไม่ได้รับเงินประกันคืน

  • มีผู้ค้ำประกัน : เพื่อสร้างแรงกดดันและความรับผิดชอบจากบุคคลภายนอก

  • ระบุเงื่อนไขการลาออกและแจ้งล่วงหน้าในสัญญาจ้าง : เช่น ต้องแจ้งลาออกล่วงหน้า 30 วัน หากไม่ทำ นายจ้างสามารถเรียกค่าเสียหายได้

ตัวอย่าง

พนักงานขายทิ้งงานกะทันหันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้บริษัทเสียโอกาสปิดดีลกับลูกค้ารายใหญ่ มูลค่าหลักล้านบาท หากในสัญญาจ้างระบุเงื่อนไขการลาออกล่วงหน้า บริษัทสามารถใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582 ระบุว่า หากลูกจ้างเลิกสัญญาจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย นายจ้างมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ การทำสัญญาจ้างที่มีรายละเอียดชัดเจนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของนายจ้าง

สรุป

กฎหมายแรงงานเป็นเรื่องที่ทั้งลูกจ้างและนายจ้างต้องศึกษา ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความเป็นธรรมในการทำงานร่วมกัน ตั้งแต่สิทธิขั้นพื้นฐานอย่างวันหยุด วันลา ไปจนถึงการคุ้มครองแรงงานต่างด้าว หรือกรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

หากทุกฝ่ายเข้าใจกฎหมายแรงงานและปฏิบัติตาม จะช่วยลดข้อพิพาท สร้างความมั่นคงในการทำงาน และทำให้ทั้งธุรกิจและพนักงานเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างยั่งยืน

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่

โทร

065 6060622

แชทไลน์

ID: @champlawfirm

ส่งเมล์

info@champlawfirm.co.th

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *